วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมไดโนเสาร์สูญพันธุ์

             
         ครั้นเมื่อช่วงปลายยุคครีเทเซียส  (CRETACEOUS)  เมื่อประมาณ  ๖๕  ล้านปีที่ล่วงมาแล้ว  ไดโนเสาร์มีขนาดใหญ่จึงได้สูญพันธุ์ไปจนหมดโลก  หลังจากที่ไดโนเสาร์สูญสิ้นพันธุ์ไปจากโลกถึง  ๖๐  ล้านปีแล้ว  โลกจึงปรากฏต้นตระกูลของมนุษย์วานรขึ้นเมื่อ  ๕  ล้านปี  มนุษย์วานรนี้ได้วิวัฒนาการต่อเนื่องจนเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในปัจจุบัน  ไดโนเสาร์มีขนาดเล็กนั้นได้วิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์สกุลต่าง ๆ มากมาย  ซึ่งมีการค้นคว้าและได้ไดโนเสาร์ชนิดใหม่  (สัตว์เลื้อยคลาน) อีก  โดยกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก


                         

         ปัจจุบันได้มีการสำราจหาไดโนเสาร์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตจนทำให้มีการอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล  สภาพภูมิอากาศ และการะเบิดจากนอกโลก  (SUPEMOVE)  และอื่นอีกมากมาย  แต่ได้รับความสนใจและต่างมีเหตุผลที่พอรับฟังได้ คือ
ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เนื่องจากการชนโลกของดาวเคราะห์น้อย (Asteroidimpact)ที่ทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นจนฝุ่นละอองฟุ้งกระจายสู่บรรยากาศของโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ม่านมืดบดบังแสงอาทิตย์ จนเป็นผลทำให้เกิดความมืดมิดและควาหนาวเย็นอย่างฉับพลันอยู่เป็นเวลานานนับเดือนจนไดโนเสาร์นั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกได้  ด้วยเหตุที่มีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงดังกล่าว


                         

        1.หลักฐานที่นำมาอ้างข้อสรุปนี้คือ  การพบธาตุ  อิริเดียม  (IRIDIUM)  จำนวนมากกว่าปกติในชั้นดินบาง ๆ  (CLAY)  ที่มีอายุอยู่ในช่วงลอยต่อระหว่างยุคครีเทเซียส  (CRETACEOUS)และ
 (TERTIARY  (K-T  BOUNDARY)ในบริเวณต่าง ๆ  ของโลก  นอกจากนี้ยังพบโครงสร้างที่เชื่อว่าโลกนั้นเคยเกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยที่แหลมในประเทศเมกชิโก  เรียกว่า  โครงสร้าง  CHICXULUB  ATRUCTURE

          2.ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เนื่องจากการระบิดของภูเขาไฟในบริเวณที่ราบสูงเดคาน  (DECCAN)  ของ
ประเทศอินเดีย  (DECCAN  TRAPS  VOLCANISM)  ซึ่งถือว่าเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในช่วงอายุของการกำเนิดโลก  ด้วยเป็นการระเบิดที่รุนแรง  อันเนื่องมาจาก  MANTLE  PLUME  และHOTSPOT  ที่อยู่ใต้พื้นโลกจนทำให้เกิดลาวาชนิด  BASALTIC  (BASALTIC  LAVA)  จำนวนมหาศาลดันเปลือกโลกขึ้นมาแล้วไหลลงมาคลุมพิ้นโลก  มีพื้นที่ถูกลาวาคลุมมากกว่า  ๑  ล้านตารางไมล์  และมีความหนากว่า  ๑  ไมล์  จนเกิด  MANTLE  DEGASSING  ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์  และไอน้ำ  ถูกความร้อนจนระเหยขึ้นบนผิวโลกด้วยอัตราที่มากจนผิดปกติ  จนก่อให้เกิดชั้น  GREENHOUSE  GASES  ในบรรยากาศกักเก็บความร้อน  จากดวงอาทิตย์ไว้ที่ผิวของโลก  ทำให้ไม่มีการถ่ายเท  จนอุณภูมิสูงขึ้น  อันเป็นผลให้วัฏจักของคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจนเปลี่ยนแปลงไป  จนนำมาสู่การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์


                         

         ส่วนสาเหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นสันนิษฐานว่า   ไดโนเสาร์นั้นอาจจะสูญพันธุ์ไปจากสิ่งแวดล้อมบนโลกไม่เอื้ออำนวยการดำรงชีวิตอยู่  โดยเฉพาะ  อาหารเป็นพิษ  และเกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรงในทุกพื้นที่ทั่วโลกดังนั้นไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ไปจากโลก  เนื่องจากเกิดมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงดังกล่าวขึ้นบนพื้นโลกในยุคเตอร์ติอารี  เมื่อประมาณ  ๖๕-๒.๕  ล้านปีมาแล้วเมื่อพื้นผิวโลกเปลี่ยนแปลง  ร่างของไดโนเสาร์จึงถูกทับถมไปกับดิน  ส่วนที่เป็นเนื้อหนังก็พุหลุดไปตามสภาพ  จึงเหลืออยู่แต่ส่วนที่แข็ง  คือ
กระดูก  และฟันที่ถูกหินดินโคลนทรายถูกทับถมอยู่นับล้านปีจนเป็นซากดึกดำบรรพ์ในชั้นดินของโลกที่เป็นโคลนทรายในยุคดึกดำบรรพ์นั้น  ได้ทับถมไดโนเสาร์แล้วอัดแน่นจนเป็นหินและผนึกแผ่นในชั้นหินธรรมชาติ  ดังนั้น  เมื่อพื้นผิวโลกมีการปรากฏตัวตามธรรมชาติ  จึงมีการยกชั้นหินบางส่วนให้สูงขึ้น  แล้วเกิดการกัดกร่อนทำลายชั้นหินจากความร้อนของดวงอาทิตย์  จากความเย็นของน้ำแข็ง  ฝน  และลม  ในที่สุดได้ทำให้ชั้นที่มีซากดึกดำบรรพ์อยู่นั้นถูกดันขึ้นมาบนพื้นโลก  จนซากดึกดำบรรพ์นั้นปรากฏขึ้นในพื้นที่บางส่วนให้นักสำรวจโลกดึกดำบรรพ์และนักธรณีวิทยาได้ค้นพบและทำการศึกษาเรื่องนี้ขึ้น

          การทับถมในครั้งนั้นได้เกิดอย่างรวดเร็วจนโคลนทรายพากันไหลเข้ากลบร่างของสัตว์ดึกดำบรรพ์  เช่น  ไดโนเสาร์ให้ตายในทันที  โครงกระดูกก็จะปรากฏเรียงรายอยู่อุดมสมบูรณ์ในตำแหน่งที่ถูกโคลนทรายกลบ
แต่ถ้าหากการทับถมนั้นเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ  คือ  โคลนทรายค่อย ๆ  ไหลทำให้ไดโนเสาร์ไม่ตายในทันที  ก็จะมีการดิ้นรนก่อนตายทำให้โครงกระดูกมีโอกาสที่จะอยู่กระจัดกระจายแล้วยังไปปะปนไปกับโคลนหินดินทรายด้วย
ด้วยเหตุที่โคลนทรายนั้นมีแร่ธาตุต่าง ๆ  เช่น  แคลไซด์  เหล็กซัลไฟต์และซิลิก้า  เมื่อมีการทับถมบนร่างของไดโนเสาร์ก็จะซึมเข้าสู่เนื้อ  กระดูก  แล้วเข้าไปอุดตันโพรงและช่องว่างที่มีอยู่  จนทำให้กระดูกนั้นแกร่งขึ้น  จนสามารถรับน้ำหนักของหินดินทรายที่ทับถมกันต่อมาภายหลังได้ดี  เมื่อทับถมนานวันนับล้าน ๆ ปี  เช่นนี้  ด้วยเหตุมีอาการของออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนช่วยในการเติบโตของแบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปถึงซากของไดโนเสาร์ได้  นานวันไดโนเสาร์ก็จะกลายเป็นสภาพจากกระดูกแข็งเป็นหินโดยธรรมชาติ  เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถคงอยู่ในลักษณะเดิมให้ได้ศึกษา  เมื่อมีการค้นพบตำแหน่งของซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ  ๖๕  ล้านปีนี้  สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงให้เป็นหินแข็งของไดโนเสาร์นั้นคือ  ฟัน  ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดจึงคงสภาพเดิมอยู่
สำหรับโครงกระดูกของไดดนเสาร์นั้น  แม้ว่าจะมีแร่ธาตุบางชนิดเข้าไปกัดกร่อนทำลายกระดูกและทั้งลักษณะของกระดูกไว้เป็นโพรงก็ตาม  ได้มีการค้นพบว่าโพรงเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เปรียบเสมือนแม่พิมพ์  ที่ทำให้เก็บร่องรอยอื่น ๆ  ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี  กล่าวคือ  เมื่อมีแร่ธาตุอื่นเข้าไปอยู่ในโพรงนั้นก็ทำให้เกิดรอยรูปหล่อของรอยผิวหนัง  ที่ทำให้ได้ข้อมูลเรื่องผิวหนังของกระดูกไดโนเสาร์ด้วย


                         

          บางแห่งพบว่าซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้เคยถูกน้ำพัดพามาทับถมอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นชั้นสะสมของกระดูกไดโนเสาร์
การสำรวจได้มีการพบรอยเท้าของไดโนเสาร์อยู่บนพื้นหิน  ซากดึกดำบรรพ์นี้เดิมเป็นดินโคลนที่มีร่องรอยเท้าของไดโนเสาร์  เมื่อมีการทับถมนานวันก็มีการรักษารอยเท้านั้นไว้ตามธรรมชาติของการอัดแน่นของดินหินทราย  ซึ่งทำให้เรียนรู้ถึงชนิดของไดโนเสาร์  ลักษณะของการเดินของสัตว์ขนาดใหญ่นี้ว่า  เดิน  ๒  ขา  เดิน  ๔  ขา  ด้วยอาการเชื่องช้าหรือว่องไว  อยู่เป็นกลุ่มหรืออยู่ตัวเดียว
นอกจากนี้บางแห่งยังมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์  ในส่วนอื่น ๆ เช่น  มูลที่ถ่ายทิ้งเรียก  คอบโปร์ไลท์  ที่ทำให้รู้ถึงขนาดและลักษณะของลำไส้  ไข่ที่ทำให้ไดโนเสาร์ออกลูกเป็นไข่  บางครั้งพบตัวอ่อนอยู่ในไข่ทำให้รู้ว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์ชนิดใด
บางแห่งพบโครงกระดูกอยู่ในลักษณะกำลังกกไข่อยู่ในรัง  จึงได้รู้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดมี  การดูแลและการฟักไข่ด้วยตัวเอง
ไดโนเสาร์เป็นสัตว์บกที่มีชีวิตอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์เมื่อประมาณ  ๒๔๕ – ๖๕  ล้านปีมาแล้ว คือ  ช่วงยุคตรีเอซิค (TRIASSIC) ถึงยุคครีเทเซียส   (CRETACEOUS)  ดังนั้น  ซากดึกดำบรรพ์จึงพบอยู่ในชั้นหินตระกอนที่สะสมบนพื้นดินในช่วงยุคตรีเอซิค  (TRIASSIC) ถึงยุคครีเทเซียส  (CRETACEOUS)   วึ่งเป็นชั้นหินในยุคเมโสโซอิก  (MESOZOIC)

                         

          สำหรับเรื่องราวดึกดำบรรพ์ในประเทศไทยนั้น  เมื่อมีการสำรวจทางธรณีวิทยา  ได้พบว่าแผ่นดินในประเทศไทยนั้นมีชั้นหิน  เมโสโซอิก  (MESOZOIC)  โผล่ขึ้นมาตามบริเวณที่ราบสูงโคราช  ที่ราบสูงภาคอีสานบางแห่งในภาคเหนือและภาคใต้  ชั้นเหล่านี้ประกอบด้วยชั้นหินดินดาน  หินทรายแป้ง  หินทรายและหินกรวดมน  ซึ่งส่วนมากเป็นหินสีน้ำตาลแดง  ตอนบนของหินชุดนี้มีชั้นของเกลือหินและหินยิบซั่มอยู่ด้วย  เนื่องจากชั้นหินเหล่านี้มีสีแดงเกือบทั้งหมดจึงเรียกว่า  ชั้นหินตะกอนแดง  (RED  BED)  หรือกลุ่มหินโคราช
หินกลุ่มโคราชนี้  มีความหนากว่า  ๔,๐๐๐  เมตร  ดังนั้นจึงทำให้ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์  และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ  จึงมีอยู่ตามภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากมาย  เช่นภูเวียง  ภูพาน  และภูหลวง  เป็นต้น  ถือเป็นแหล่งที่อยู่ไดโนเสาร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งก่อนที่จะเกิดการสูญพันธุ์

          ดังนั้น  การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรุนแรง  ทำให้เปลือกโลกปกคลุมรักษาซากดึกดำบรรพ์ให้ศึกษาข้อมูลในปัจจุบัน


                        
                        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น